ช่วงกลางปี 2568 รัฐบาลไทยเดินหน้าเปิดตัวแพลตฟอร์ม GovTech เวอร์ชันทดลอง เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการภาครัฐ ตอบรับประชากรดิจิทัลที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง และสถานการณ์ต่าง ๆ ที่ต้องการความคล่องตัวด้านการบริหารราชการ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมย้ำจุดยืนว่าโครงการนี้คือหมุดหมายสำคัญของระบบราชการยุคใหม่ ที่สามารถเชื่อมโยงและบูรณาการฐานข้อมูลระหว่างกระทรวงต่าง ๆ ให้ประชาชนเข้าถึงบริการด้วยบัญชีเดียว ลดภาระการเดินทางและงานเอกสารแบบเดิมลงอย่างเป็นรูปธรรม.
GovTech กับภารกิจขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม
ท่ามกลางกระแสดิจิทัลที่แทรกซึมในทุกมิติของชีวิต ภาครัฐไทยประกาศแผน Digital Government Masterplan มุ่งรวมบริการกว่า 18 กลุ่ม อาทิ งานทะเบียนภาครัฐ สวัสดิการ การศึกษา การจดสิทธิบัตร SME ท่องเที่ยว และบริการสุขภาพเข้าสู่ศูนย์กลางหรือพอร์ทัล govchannel.go.th ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของระบบ “หน้าต่างบริการเดียว” หรือ One-Stop Window ที่ประชาชนและภาคธุรกิจสามารถทำธุรกรรมกับรัฐทั้งหมดผ่านออนไลน์ สอดคล้องกับแนวทางยกระดับความสามารถแข่งขันและคุณภาพชีวิตประชาชนไทยที่เป็นประชากรดิจิทัล (Digital Citizen) เต็มรูปแบบ.
ประโยชน์สำคัญของแพลตฟอร์มนี้ คือการยกเลิกการส่งเอกสารซ้ำซ้อน/เดินเรื่องข้ามหน่วยงาน ตัดวงจรคอรัปชันและลดช่องโหว่ของรัฐแบบเดิม ๆ ขณะที่ฝั่งเจ้าหน้าที่ได้ทำงานบนฐานข้อมูลกลาง มีทั้งระบบจัดการบัตรประชาชนดิจิทัล ระบบสวัสดิการดิจิทัล ไปจนถึงการออกใบอนุญาตหรือรับเรื่องร้องเรียนผ่าน mobile application “State Road” ที่จะเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ล่าสุด เพื่อตอบโจทย์สังคมในสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น การขอรับสวัสดิการหรือเงินช่วยเหลือในวิกฤต (น้ำท่วม ภัยพิบัติ และอื่น ๆ) แบบเรียลไทม์.
GovTech กับ “AI” และข้อมูลขนาดใหญ่
นอกจากการเชื่อมโยงบริการ เบื้องหลังแพลตฟอร์ม GovTech คือเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ที่รัฐเริ่มนำมาใช้งานจริงในงานบริการประชาชน อาทิ ระบบแจ้งเตือน-วิเคราะห์สถิติสุขภาพ โครงการนำร่องกับผู้ใช้งานประกันสุขภาพ “30 บาทรักษาทุกที่” ที่อาศัยข้อมูลเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์แบบบูรณาการ ระบบวิเคราะห์ข้อมูลท่องเที่ยว และระบบเตือนภัยประชาชนล่วงหน้าด้วย AI. ส่วนหนึ่งของโครงการนี้รัฐบาลได้ร่วมมือกับภาคเอกชน-สตาร์ทอัพกว่า 300 ราย (เช่น Tech for Gov 2025) ในการออกแบบเครื่องมือใหม่ ๆ ที่เน้นความโปร่งใส ปลอดภัยด้านข้อมูล และเปิดโอกาสให้ประชาชนร่วมส่งข้อเสนอแนะหรือเบต้าฟีเจอร์กับรัฐแบบเปิดกว้าง.
ข้อท้าทายและบทเรียนสำคัญ
กระบวนการผลักดัน GovTech ยังเจอกับอุปสรรคอีกมาก ได้แก่ ความพร้อมบุคลากรรัฐและการอบรมภาคปฏิบัติ, กฎหมายหรือระบบกระบวนการราชการเดิม, ช่องโหว่การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และปัญหา digital divide ระหว่างเมืองกับชนบท รัฐบาลจึงแบ่งการดำเนินการเป็น 2 ระยะ: ระยะแรกอบรมบุคลากรจาก 200 หน่วยงาน, ระยะสองขยายไปสู่ภาคเอกชนและประเมินผลการใช้จริง5. โครงการนี้จึงไม่ได้เน้นนำเทคโนโลยีมาใช้เท่านั้น แต่ขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลงผ่านสร้างวัฒนธรรมองค์กรและจริยธรรมการกำกับดูแลข้อมูล (AI Ethics) อย่างเคร่งครัด
ข้อเสนอและทางเลือกสำหรับอนาคต
- รัฐควรขยาย public beta และเปิดให้ประชาชนทดสอบ-แสดงความคิดเห็นอย่างต่อเนื่อง
- เพิ่มแนวทางป้องกันข่าวปลอมและอาชญากรรมไซเบอร์ไปพร้อมกับบริการออนไลน์
- ใช้ GovTech สร้างเครื่องมือช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางให้เข้าถึงได้จริง เช่น คนสูงวัย, ผู้พิการ, ชุมชนห่างไกล
- เร่งความร่วมมือภาคเอกชน-สตาร์ทอัพ Open Innovation เพื่อพัฒนาฟีเจอร์ใหม่รวดเร็ว
GovTech Version 2025 จึงไม่ใช่แค่แพลตฟอร์มรัฐออนไลน์ แต่คือภาพสะท้อนความกล้าลอง-กล้าปรับทั้งฐานคิดและเทคโนโลยีของระบบราชการไทย เพื่อก้าวสู่สังคมประชากรดิจิทัลเต็มรูปแบบอย่างแท้จริง และเปิดประตูให้คนไทยทุกกลุ่มเข้าถึงบริการรัฐที่โปร่งใส ทันสมัย และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง.